อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotemia)
“เมโสโปเตเมีย” เป็นชื่อเรียกดินแดนที่อยู่ระหว่างแม่น้ำ
2 สาย ในตะวันออกกลาง คือ แม่น้ำไทกริส (Tigris) และยูเฟรทีส (Euphrates) ปัจจุบันคือดินแดนในประเทศอิรัก
อารยธรรมเมโสโปเตเมียมีความหมายครอบคลุมความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นในดินแดน
เมโสโปเตเมียและบริเวณรอบๆ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อประมาณปี 3000 ก่อนคริสต์ศักราช หรือ 5000 ปีมาแล้ว
กลุ่มชนที่มีส่วนสร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ได้แก่ พวกสุเมเรียน บาบิโลเนียน
แอลซีเรียน แคลเดียน ฮิตไทต์ ฟินีเชียน เปอร์เซีย และฮิบรู
ซึ่งได้พลัดเปลี่ยนกันเข้ามาปกครองดินแดนนี้
พวกเขารับความเจริญเดิมที่สืบทอดมาและพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าขึ้นพร้อมๆ กับคิดค้นความเจริญใหม่ๆ
ขึ้นมาด้วย อารยธรรมเมโสโปเตเมียจึงเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่อง
และเป็นแบบอย่างที่ดินแดนอื่นๆ นำไปใช้สืบต่อมา
1.ปัจจัยส่งเสริมให้เกิดอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
สภาพภูมิศาสตร์และภูมิปัญญาของกลุ่มชน
เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
สภาพภูมิศาสตร์ของดินแดนเมโสโปเตเมีย
ลักษณะที่ตั้งของดินแดนเมโสโปเตเมียและบริเวณใกล้เคียง
มีภูมิอากาศร้อนแห้งแล้งและมีปริมาณน้ำฝนน้อย อย่างไรก็ตาม
บริเวณนี้ก็มีเขตที่อุดมสมบูรณ์อยู่บ้างเรียกว่า “ดินแดนรูปดวงจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ซึ่งรวมถึงดินแดนเมโสโปเตเมียและบริเวณฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหรือเขตประเทศซีเรีย
เลบานอน ปาเลสไตน์และอิสรเอลในปัจจุบัน
ดินแดนเมโสโปเตเมียได้รับความอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีสและน้ำจากหิมะละลายบนเทือกเขาในเขตอาร์เมเนียทางตอนเหนือ
ซึ่งพัดพาโคลนตมมาทับถมบริเวณสองฝั่งแม่น้ำ กลายเป็นปุ๋ยในการเพาะปลูก
กลุ่มชนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงจึงพยายามขยายอำนาจเข้ามาครอบครองดินแดนแห่งนี้
ขณะเดียวกันผู้ที่อยู่เดิมก็ต้องสร้างความมั่งคงและแข็งแกร่งเพื่อต่อต้านศัตรูที่มารุกรานจึงมีการสร้างกำแพงเมืองและคิดค้นอาวุธยุทโธปกรณ์ในการทำศึกสงคราม
เช่น อาวุธ รถม้าศึก ฯลฯ
อนึ่ง
ที่ตั้งของดินแดนเมโสโปเตเมียสามารถติดต่อกับดินแดนอื่นได้สะดวกทั้งทางด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอ่าวเปอร์เซีย
จึงมีการติดต่อค้าขายและแลกเปลี่ยนความเจริญกับดินแดนอื่นอยู่เสมอ
ทำให้เกิดการผสมผสานและสืบทอดอารยธรรม
ภูมิปัญญาของกลุ่มชน
อารย
ธรรมเมโสโปเตเมียเกิดจากภูมิปัญญาของกลุ่มชนที่อาศัยในดินแดนแห่งนี้
การคิดค้นและพัฒนาความเจริญเกิดจากความจำเป็นที่ต้องเอาชนะธรรมชาติเพื่อ
ความอยู่รอด การจัดระเบียบในสังคมและความต้องการขยายอำนาจ
การเอาชนะธรรมชาติ แม้ว่าดินแดนเมโสโปเตเมียจะได้รับความอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส
แต่ก็มีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี ส่วนบริเวณที่ห่างฝั่งแม่น้ำมักแห้งแล้ง
ชาวสุเรียนจึงคิดค้นระบบชนประทานเป็นครั้งแรก ประกอบด้วยทำนบป้องกันน้ำท่วม
คลองส่งน้ำ และอ่างเก็บน้ำ วิธีนี้ช่วยให้การเพาะปลูกได้ผลดี อนึ่ง ในเขตที่อยู่อาศัยของพวกสุเมเรียนไม่มีวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรงคงทน
เช่น หินชนิดต่างๆ ชาวสุเมเรียนจึงคิดหาวิธีทำอิฐจากดินแดนและฟาง
ซึ่งแม้จะมีน้ำหนักเบากว่าหินแต่ก็มีความทนทาน และใช้อิฐก่อสร้างสถานที่ต่างๆ
รวมทั้งกำแพงเมือง นอกจากนี้ยังใช้ดินเหนียวเป็นวัสดุสำคัญในการประดิษฐ์อักษรรูปลิ่มด้วย
การจัดระเบียบในสังคม
เมื่อมีความเจริญเติบโตและมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น
การอยู่กันเป็นชุมชนจึงจำเป็นต้องมีระเบียบและกฎเกณฑ์ของสังคม ได้แก่
การแบ่งกลุ่มชนชั้นในสังคมเพื่อกำหนดหน้าที่และสถานะ
การจัดเก็บภาษีเพื่อนำรายได้ไปใช้พัฒนาความเจริญให้แก่ชุมชน
การออกกฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือในการปกครอง เช่น
ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งบาบิโลเนีย
ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นกฎหมายแม่บทของโลกตะวันตก
การขยายอำนาจ
ความยิ่งใหญ่ของชนชาติที่ปกครองดินแดนเมโสโปเตเมียส่วนหนึ่งเกิดจากการขยายอำนาจเพื่อรุกรานและครอบครองดินแดนอื่น
เช่น พวกแอสซีเรียนสามารถสถาปนาจักรวรรดิแอสซีเรียนที่เข้มแข็งได้
เพราะมีเทคโนโลยีทางการทหารที่ก้าวหน้าและน่าเกรงขาม
โดยประดิษฐ์คิดค้นอาวุธสงครามและเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งยุทธวิธีในการทำสงคราม
เช่น ดาบเหล็ก หอกยาว ธนู เครื่องกระทุ้งสำหรับทำลายกำแพงและประตูเมือง รถศึก
เสื้อเกราะ โล่ หมวกเหล็ก ฯลฯ ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้แพร่หลายในทวีปยุโรป
2.การหล่อหลอมอารยธรรมของชนชาติต่างๆในเมโสโปเตเมีย
อารยธรรม
ในดินแดนเมโสโปเตเมียไม่ได้เกิดขึ้นโดยการสร้างสรรค์ของชนชาติใดชาติหนึ่ง
โดยเฉพาะดังเช่นอารยธรรมอื่น หากแต่มีชนชาติต่างๆ
ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครอบครองและสร้างความเจริญ แล้วหล่อหลอมรวมเป็นอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
สุเมเรียน
(Sumerian) สุเมเรียนเป็นชื่อเรียกกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเขตซูเมอร์
(Sumer) หรือบริเวณตอนใต้สุดของแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีส
ซึ่งติดกับปากอ่าวเปอร์เซียเมื่อประมาณ 5000 ปีมาแล้ว
พวกสุเมเรียนได้พัฒนาความเจริญรุ่งเรืองที่ก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยธรรมอียิปต์
เช่น รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรลิ่มบนแผ่นดินเหนียวแล้วนำไปเผาไฟ
การคำนวณ การพัฒนามาตราชั่ง ตวง วัด การทำปฏิทิน การใช้แร่โลหะ การคิดค้นระบบชลประทานเพื่อส่งเสริมการกสิกรรม
และการก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้า ฯลฯ
ทำให้นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าอารยธรรมโลกเริ่มต้นที่เขตซูเมอร์
ชาวสุเมเรียนอยู่รวมกันเป็นนครรัฐเล็กๆ หลายแห่ง เช่น
เมืองเออร์ (Ur) เมืองอูรุก (Uruk) เมืองคิช (Kish) และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) แต่ละแห่งไม่มีกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนคร
เพราะพวกสุเมเรียนเชื่อว่าพวกเขามีเทพเจ้าคุ้มครอง
จึงมีเพียงพระหรือนักบวชเป็นผู้ทำพิธีบูชาเทพเจ้าและจัดการปกครองในเขตของตน
อย่างไรก็ตาม การที่นครรัฐต่างๆ ล้วนเป็นอิสระต่อกันทำให้ไม่สามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นได้
ดินแดนของพวกสุเมเรียนจึงถูกรุกรานจากชนกลุ่มอื่น คือพวกแอคคัดและอมอไรต์
อมอไรท์
(Amorties) พวกอมอไรท์หรือบาบิโลเนียน
เป็นชนเผ่าเซมิติกซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง
ได้ขยายอิทธิพลในดินแดนเมโสโปเตเมียและสร้างจักรวรรดิบาบิโลนที่เจริญ
รุ่งเรืองในช่วงประมาณปี 1800-1600 ก่อนคริสต์ศักราช
ผู้นำสำคัญคือกษัติรย์ฮัมมูราบีผู้ยิ่งใหญ่
ซึ่งได้สร้างความเข้มแข็งให้แก่จักรวรรดิบาบิโลน
โดยการทำสงครามขยายดินแดนและจัดทำประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบีเพื่อเป็น
หลักฐานในการปกครองและจัดระเบียบสังคม
นอกจากนี้ชาวบิโลเนียนยังสืบทอดความเจริญต่างๆ ของพวกสุเมเรียนไว้ เช่น
ความเชื่อทางศาสนาซึ่งได้แก่การบูชาเทพเจ้า
การแบ่งกลุ่มชนชั้นในสังคมเพื่อแบ่งแยกหน้าที่และความสะดวกในการปกครอง
การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการค้าขายกับดินแดนอื่นๆ เช่น อียิปต์และอินเดียซึ่งนำความมั่งคั่งให้แก่จักวรรดิบาบิโลน
จักรวรรดิบาบิโลนค่อยๆเสื่อมอำนาจลง
เมื่อมีชนชาติอื่นขยายอิทธิพลเข้ามาในดินแดนเมโสโปเตเมียและสลายลงไปโดยถูกพวกแอลซีเรียนโจมตี
ฮิตไทต์
(Hittites) พวกฮิตไทต์เป็นพวกอินโด-ยูโรเปียน
ที่อพยพมาจากทางเหนือของทะเลดำเมื่อประมาณปี 2300 ก่อนคริสต์ศักราช
ต่อมาได้ขยายอิทธิพลเข้าไปในเขตจักรวรรดิบาบิโลนและเข้าครอบครองดินแดน
ซีเรียในปัจจุบันพวกฮิตไทต์สามารถนำเหล็กมาใช้ประดิษฐ์อาวุธแบบต่างๆ
และจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อใช้ควบคุมสังคม
โดยเน้นการใช้ความรุนแรงตอบโต้ผู้ที่กระทำความผิด เช่น ให้จ่ายค่าปรับแทนการลงโทษที่รุงแรง
อาณาจักรฮิตไทต์เสื่อมอำนาจลงในราวปี 1200 ก่อนคริสต์ศักราช
แอลซีเรียน (Assyrians) พวกแอลซีเรียนมีถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย
เป็นชนชาตินักรบที่มีความสารถและโหดร้าย จึงเป็นที่คร้ามเกรงของชนชาติอื่น
พวกแอลซีเรียนได้ขยายอำนาจครอบครองดินแดนของพวกบาบิโลเนียน ซีเรีย
และดินแดนบางส่วนของจักรววรดิอียิปต์ จักรวรรดิแอลซีเรียนมีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงปี
900-612 ก่อนคริสต์ศักราช อนึ่ง
การที่แอลซีเรียนเป็นชนชาตินักรบจึงได้มอบอารยธรรมสำคัญให้แก่ชาวโลกคือการ
สร้างระบอบปกครองจักวรรดิที่เข้มแข็ง
มีการควบคุมดินแดนที่อยู่ใต้การปกครองอย่างใกล้ชิด
โดยสร้างถนนเชื่อมติดต่อกับดินแดนเหล่านั้นจำนวนมากเพื่อความสะดวกในการเดิน
ทัพและติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ยังมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทางการทหารและการรบ
โดยเฉพาะการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์และการใช้ทหารรับจ้างที่มีประสิทธิภาพสูง
อย่างไรก็ตาม แอลซีเรียนมิได้พัฒนาความเจริญด้านอื่นๆ มากนัก
ส่วนใหญ่เป็นการสืบทอดความเจริญที่มีอยู่เดิมในดินแดนที่ตนเข้าไปครอบครอง เช่น
ความเชื่อทางศาสนา ศิลปกรรม และวรรณกรรม
ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิแอสซีเรียนเกิดจากการรุกรานดินแดนของชนชาติอื่น
ดังนั้นจึงมีศัตรูมากและถูกศัตรูทำลายในที่สุด
แคลเดียน (Chaldeans) พวกแคลเดียนได้ร่วมกับชนชาติอื่นทำลายอำนาจของแอลซีเรียนเมื่อปี
612 ก่อนคริสต์ศักราช
หลังจากนั้นก็ได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของจักรวรรดิแอสซีเรีย
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของแคลเดียนคือกษัตริย์เนบูคัดเนซซาร์
ซึ่งสถาปนาจักรวรรดิบาบิโลนขึ้นใหม่และรื้อฟื้นความเจริญต่างๆ ในอดีต เช่น
การก่อสร้างอาคารที่สวยงามโดยเฉพาะการสร้าง “สวนลอยแห่งบาบิโลน” ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
การรื้อฟื้นประมวลกฎหมายและวรรณกรรมของชาวบาบิโลเนียนรวมทั้งระบบเศรษฐกิจและการค้า
ดังนั้นนักประวัติศาสตร์จึงเรียกจักวรรดิของพวกแคลเดียนว่า “จักวรรดิบาบิโลนใหม่” อย่างไรก็ตาม
พวกแคลเดียนก็ได้สร้างมรดกที่สำคัญคือการศึกษาทางด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์จักรวรรดิแคลเดียนมีอำนาจในช่วงสั้นๆ และสิ้นสลายเมื่อปี 534 ก่อนคริสต์ศักราช
เปอร์เซีย
(Persia) พวกเปอร์เซียเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพมาจากทางเหนือของเทือกเขาคอเคซัส
เมื่อราว 1800 ปีก่อนคริสต์ศักราชและตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนเปอร์เซียหรือประเทศอิหร่อน
ปัจจุบัน ต่อมาได้ร่วมมือกับพวกแคลเดียนโค่นล้มจักรวรรดิแอลซีเรียนและสถาปนา
จักรวรรดิเปอร์เซียเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ซักราช จากนั้นได้ขยายอำนาจเข้ายึดตครองจักรวรรดิบาบิโลนของพวกแคลเดียน
ดินแดนเมโสโปเตเมีย เอเชียไมเนอร์และอียิปต์
ในสมัยพระเจ้าดาริอุสหรือเดอไรอัสมหาราช (Darius the Great) เปอร์เซียได้ขยายอิทธิพลเข้าไปในดินแดนตะวันออกถึงลุ่มแม่น้ำสินธุของ
อินเดียและทางตะวันตกถึงตอนใต้ของยุโรป
แม้ว่าเปอร์เซียไม่ประสบความสำเร็จในการทำสงครามเพื่อยึดครองนครรัฐกรีก
แต่จักวรรดิเปอร์เซียในขณะนั้นก็มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด
เปอร์เซียเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่ครอบคลุมดินแดนของชนชาติต่างๆ
จำนวนมาก จึงต้องจัดการปกครองให้มีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองใช้หลักความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษีและการศาล
รวมทั้งการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่ท้องถิ่นและดินแดนต่างๆ
โดยรับวิธีควบคุมอำนาจปกครองตามแบบพวกแอสซีเรียน ซึ่งได้แก่
การสร้างถนนเชื่อมดินแดนต่างๆ เพื่อรองรับการเดินทัพ การสื่อสาร และไปรษณีย์
ถนนสายสำคัญ ได้แก่ เส้นทางหลวงเชื่อมเมืองซาร์ดิส (Sardis) ในเอเชยไมเนอร์
(ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี) และนครซูซา (Susa) ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซีย
ถนนสายนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์
หากยังมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างดินแดนต่างๆ ภายในจักรวรรดิ
และเป็นเส้นทางสำคัญในการติดต่อระหว่างตะวันออกและตะวันตก
พวกเปอร์เซียรับความเจริญรุ่งเรืองจากดินแดนต่างๆ
โดยเฉพาะจากอียิปต์และเมโสโปเตเมีย แล้วหล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมของตน เช่น
การประดิษฐ์ตัวอักษร การใช้ระบบเงินตรา การประยุกต์รูปแบบสถาปัตยกรรม ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม พวกเปอร์เซียก็มีอารยธรรมที่โดดเด่น คือ มีศาสนาของตนเอง ได้แก่
ศาสนาโซโรแอสเตอร์ (Zoroaster) ซึ่งสั่งสอนให้มนุษย์ทำความดีเพื่อมีชีวิตที่ดีในอนาคตและละเว้นความชั่วโดยเฉพาะการกล่าวเท็จ
หลักความดีความชั่วของศาสนาโซโรแอสเตอร์มีอิทธิพลต่อแนวคิดและคำสอนของศาสนายูดาย (Judaism) ของชาวยิว
และศาสนาคริสต์ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจากนั้นจักรวรรดิปอร์เซียล่มสลาย
เมื่อถูกพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียยกทัพเข้ายึดครองเมื่อปี 331 ก่อนคริสต์ศักราช
ฟีนิเชียน
(Phoenicians) ระหว่างปี 1000-700 ปีก่อนคริสต์ศักราช
พวกฟีนิเชียนอาศัยอยู่ในดินแดนฟินิเชียซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศเลบานอนปัจจุบัน
และมีการปกครองแบบนครรัฐ ลักษณะที่ตั้งมีเทือกเขาสลับซับซ้อนกั้นระหว่างที่ราบแคบๆ
ซึ่งขนานกับชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับดินแดนอื่นๆ
ทำให้พวกฟีนิเชียนไม่สามารถขยายดินแดนของตนออกไปได้ จึงดำรงชีวิตด้วยการเดินเรือและค้าขายทางทะเล
นอกจากมีชื่อเสียงในด้านการค้าแล้ว
ชาวฟีนิเชียนยังมีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมต่อเรือซึ่งทำจากไม้ซีดาร์ที่มี
อยู่มากบนเทือกเขาในเลบานอนและการทำอุตสาหกรรมเครื่องใช้จากแร่โลหะต่างๆ เช่น
ทองคำ ทองแดง ทองเหลือง แร่เงิน และเครื่องแก้ว นอกจากนี้ยังริเริ่มการทอผ้าขนสัตว์และย้อมผ้า
รวมทั้งได้จับจองอาณานิคมในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจำนวนมาก
เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าของตน เช่น เกาะซิซีลี ซาร์ดิเนีย และมอลตา อนึ่ง
ชาวฟีนิเชียนจำเป็นต้องใช้เอกสารและหลักฐานในการติดต่อค้าขายจึงได้พัฒนาตัว
อักษรขึ้นจากโบราณของอียิปต์จำนวนรวม 22 ตัว
อักษรฟีนิเชียนเป็นมรดกทางอารยธรรมที่สำคัญของโลกตะวันตก
เนื่องจากชาวกรีกและโรมันได้นำไปใช้และสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ฮิบรู (Hebrews) ชาวฮิบรูหรือชาวยิว
เป็นชนเผ่าเซมิติกที่เร่ร่อนอยู่ในดินแดนต่างๆ เคยอาศัยอยู่ในเขตซูเมอร์ก่อนที่จะอพยพเข้าไปอยู่ดินแดนคานาอัน
(Canaan) หรือปาเลสไตน์ (Palestine) ในปัจจุบัน ชาว ฮิบรูเป็นชนชาติที่เฉลียวฉลาดและบันทึกเรื่องราวของพวกตนในคัมภีร์ศาสนา
(Old Testament) ทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับบรรพบุรุษของชาวยิวอย่างละเอียด
บันทึกชาวฮิบรูกล่าวว่า เดิมบรรพบุรุษเคยอยู่ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมียต่อมาได้ตกเป็นทาสของอียิปต์
เมื่ออียิปต์เสื่อมอำนาจ ชาวฮิบรูจึงพ้นจากความเป็นทาสโดยผู้นำคือโมเสส (Moses) ได้นำชาวฮิบรูเดินทางเร่ร่อนเพื่อหาที่ตั้งหลักแหล่งทำมาหากิน
ในที่สุดมาถึงดินแดนคานาอัน หรือภายหลังเรียกว่า “ปาเลสไตน์” และสร้างอาณาจักรอิสราเอล มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คือ
กษัตริย์เดวิด (David) ซึ่งสถาปนานครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวง
ต่อมาอาณาจักรอิสราเอล ได้แตกแยกเป็น 2 ส่วน หลักจากกษัตริย์โซโลมอนสิ้นพระชนม์ เมื่อปี 922 ก่อนคริสต์ศักราช
และถูกชนนชาติที่เข้มแข็งกว่าคือแอลซีเรียนและแคลเดียนเข้ายึดครอง
ชาวยิวส่วนใหญ่ถูฏจับไปเป็นทาสในดินแดนอื่น
แต่ได้กลับคืนดินแดนปาเลสไตน์อีกครั้งเมื่อจักรวรรดิเปอร์เซียเข้ามาครอบครองดินแดนนี้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ละทิ้งดินแดนของตนไปในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 หลังจากพวกโรมันเข้ายึดครองปาเลสไตน์และทำลายเมืองของชาวยิว
ชาวยิวมีกฎหมาย
วรรณกรรม และศานาของตนเอง ประมวลกฎหมายเรียกว่า “กฎหมายโมเสส” วรรณกรรมที่สำคัญคือคัมภีร์ไบเบิล
ซึ่งประมวลกฎหมายเรื่องราวตั้งแต่การกำเนิดของโลกมนุษย์
จนกระทั่งถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว คัมภีร์ไบเบิลฉบับบนี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและเป็นภาคพระ
คัมภีร์เก่า (Old Testament) ในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ด้วย
ความเจริญรุ่งเรืองที่ชนชาติต่างๆ
ในดินแดนเมโสโปเตเมียคิดค้น หล่อหลอม และสืบทอดต่อกันมา
ส่วนใหญ่กลายเป็นรากฐานของอารยธรรมตะวันตกที่ชาวยุโรปรับและพัฒนาต่อเนื่องเป็นอารยธรรมของมนุษยชาติในปัจจุบัน
ที่มา : http://metricsyst.wordpress.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น