ปัญหาความยากจนและการแก้ปัญหาความยากจน
1.
กรอบคิดเรื่องที่มาและความหมายของคนจน
แนวคิดเกี่ยวกับปัญหาความยากจน
ที่มีการนำเสนอกันมากขึ้นในปัจจุบัน
มีกรอบคิดเกี่ยวกับที่มาและความหมายของคนจนไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่)
เช่น กรอบคิดแบบเจ้าขุนมูลนายมองว่า คนจนคือคนขี้เกียจเรียน
ขี้เกียจทำงาน หรือทำบาปกรรมไว้แต่ชาติก่อน กรอบคิดแบบนายทุนมองว่า คนจนคือคนที่มีรายได้ต่ำกว่าที่จะใช้ยังชีพให้มีมาตรฐานได้
และการที่คนจนเนื่องจากพวกเขายังไม่ได้รับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสมัยใหม่มากพอ
ผู้นำเสนอมักยอมรับกรอบคิดหรือนิยามเรื่องคนจนโดยไม่ได้สำรวจหรือไม่ได้วิเคราะห์ว่า
กรอบคิดเกี่ยวกับที่มาและความหมายของความยากจนที่ใช้กันอยู่นั้น ถูกต้องสักแค่ไหน
มีกรอบคิดแบบอื่นที่ต่างออกไปหรือไม่
การที่เราจะสามารถทำความเข้าใจและวิเคราะห์ปัญหาความยากจนได้อย่างถูกต้องหรือใกล้เคียงความจริง เราจะต้องวิเคราะห์ตั้งแต่กรอบคิดเรื่องความยากจนก่อน
การที่เราจะสามารถทำความเข้าใจและวิเคราะห์ปัญหาความยากจนได้อย่างถูกต้องหรือใกล้เคียงความจริง เราจะต้องวิเคราะห์ตั้งแต่กรอบคิดเรื่องความยากจนก่อน
1.1 ที่มา-คนจนยุคใหม่ไม่เหมือน และไม่ได้สืบทอดความเป็นคนจนมาจากอดีตเสมอไป คนจนหรือคนที่ฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำกว่าคนอื่น
ๆ ในสังคมเดียวกันมีมาตั้งแต่อดีต
แต่ในสังคมเกษตรแบบดั้งเดิมที่คนส่วนใหญ่ผลิตเพื่อกินเพื่อใช้เป็นสัดส่วนสูงนั้น
คนในหมู่บ้านไม่ได้มีฐานะทางเศรษฐกิจต่างกันมากนัก คนส่วนใหญ่มีมาตรฐานการดำรงชีพที่พออยู่พอกินใกล้เคียงกัน
โดยที่พวกเขาไม่ค่อยจำเป็นต้องซื้อขายหรือใช้เงิน
คนที่ถูกจัดว่ายากจนในสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม
ส่วนใหญ่จะมาจากความด้อยโอกาสทางสังคม และวัฒนธรรม เช่น
มาจากชาติพันธุ์หรือภูมิหลังทางสังคมที่คนมองว่าเป็นพวกด้อย, ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับ
หรือกลายเป็นคนยากจนขัดสนในสถานการณ์บางอย่าง เช่น เกิดมาพิการ
หรือได้รับภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นหม้าย แก่ชราโดยไม่มีลูกเต้าเลี้ยงดู ฯลฯ
มากกว่าเป็นเพราะว่าเขาเกิดมาและอยู่ในชนชั้นที่ยากจน
ความยากจนในลักษณะเปรียบเทียบในสังคมเกษตรแบบดั้งเดิมนี้มักไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ในบางชุมชนที่ค่อนข้างมีความเสมอภาคกันมาก ไม่ได้มีปัญหาคนยากจน
หรือไม่มีแนวคิดเรื่องความยากจนนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำกรอบคิดเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมตะวันตก
อธิบายว่าประเทศสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม เป็นประเทศยากจนล้าหลัง ที่ต้องได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมตะวันตก
ประเทศเหล่านี้จึงจะก้าวไปสู่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งแบบเดียวกับประเทศอุตสาหกรรมได้
แต่ถ้าเราไม่ใช้กรอบคิดที่มองความยากจนในเรื่องรายได้ต่ำหรือความไม่ทันสมัย
หากใช้กรอบคิดที่มองในแง่ว่าคนมีปัจจัยพื้นฐานที่เพียงพอแก่การดำรงชีวิตที่มีความสุขหรือไม่
เราอาจจะกล่าวในทางตรงกันข้ามได้ว่า
การพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมตะวันตกดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการทำให้คนส่วนหนึ่งยากจนลง
หรือเป็นผู้สร้างความยากจนยุคใหม่ขึ้น เพราะการพัฒนาทุนนิยมในประเทศกำลังพัฒนา
เช่น ไทย เป็นการพัฒนาทุนนิยมแบบบริวาร ที่มีการผูกขาด, การแข่งขันไม่เป็นธรรม
พึ่งการลงทุน การสั่งเข้าเทคโนโลยีจากประเทศร่ำรวย
ไม่ได้พัฒนาพื้นฐานทางเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง
การเติบโตทางเศรษฐกิจให้ประโยชน์กับทุนต่างชาติ และนายทุนใหญ่ในประเทศ มากกว่าที่จะกระจายสู่คนส่วนใหญ่
ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเกิดคนจนมากขึ้น
ประชาชนยังถูกทำให้จนลงโดยนโยบายพัฒนาประเทศแบบทุนนิยมบริวาร ด้วยเหตุผลหลายประการ
เช่น
1. เปลี่ยนวิถีการทำเกษตรแบบดั้งเดิม
ซึ่งเป็นการเกษตรแบบผสมผสานเพื่อกินเพื่อใช้ ไปเป็นการปลูกพืชเดี่ยวเพื่อขายหาเงินไปซื้อของกินของใช้
ทำให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองด้านอาหารและเครื่องใช้ไม้สอยได้ลดลงจากเดิม
และเปลี่ยนมาพึ่งพาการใช้เงินและระบบตลาดที่มีลักษณะผูกขาดมากขึ้น
เกษตรกรในยุคตั้งแต่มีการพัฒนาการเกษตรแบบทุนนิยมต้องตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ
ต้องทำงานหนัก อพยพโยกย้ายพลัดพรากจากครอบครัว บ้านเกิดเมืองนอน
มีรายได้เป็นตัวเงินสูงขึ้น แต่รายจ่ายกลับเพิ่มมากกว่ารายได้
ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากขึ้น
2. ทำลายวิถีชีวิตชุมชนแบบยอมรับกรรมสิทธิร่วมในเรื่องป่าไม้
ที่ทำกิน ทรัพยากรต่าง ๆ และการอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
ไปเป็นวิถีชีวิตแบบการแย่งชิงทรัพยากรไปเป็นกรรมสิทธิของเอกชน
เพื่อแสวงหากำไรสูงสุดและการบริโภคสูงสุด
การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันในสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งนักวิชาการเรียกว่า
ความมั่นคงหรือเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมหายไป ชีวิตเกษตรกรในระบบทุนนิยมมีความเสี่ยงและยากลำบากแบบตัวใครตัวมันมากขึ้น
3. ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
สภาพแวดล้อม แหล่งทำมาหากินและยังชีพที่คนในชนบทเคยอาศัยทำมาหากินแบบเพียงพอ
คนถูกกวาดต้อนให้เข้าสู่ระบบผลิตทุนนิยมผูกขาดที่วิถีการผลิต, วิถีการบริโภคของคนขึ้นอยู่กับการลงทุน, การจ้างงาน
และการบริโภคที่ต้องหาเงินมาซื้อมากขึ้น
เป็นระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่คนในชนบทและคนงานในเมืองควบคุมไม่ได้หรือไร้อำนาจในการตัดสินใจ
และทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้น
เมื่อประเทศกำลังพัฒนาเริ่มพัฒนาวิถีการผลิตและวิถีชีวิตแบบทุนนิยมอุตสาหกรรม
ในระยะแรก ๆ ดูเผิน ๆ เหมือนจะดีที่ทำให้ประชาชนมีรายได้เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้น
มีสินค้าให้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น
แต่ยิ่งพวกเขาพัฒนาการเกษตรเป็นแบบการผลิตเพื่อขายมากขึ้น
ประชาชนถึงได้พบในตอนหลังว่ารายจ่ายเพิ่มสูงเร็วกว่ารายได้ เกษตรกรต้องเป็นผู้เช่า, เป็นหนี้
ต้องซื้อแพงขายถูก ทำงานหนักเพิ่มขึ้น เสี่ยงภัยและได้รับมลภาวะเพิ่มขึ้น
คนส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตลดลงกว่าวิถีชีวิตในยุคสมัยเกษตรยังชีพแบบดั้งเดิม
ความยากจนยุคใหม่หรือความยากจนแบบที่คนจำนวนมากมีรายได้ไม่พอที่จะดำรงชีพอย่างเหมาะสมเพิ่มมากขึ้น
มักถูกนักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมอุตสาหกรรมอธิบายว่า มาจากสาเหตุ
1. ประชากรเพิ่มขึ้นมาก
ทรัพยากรมีจำกัด
หรือไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพให้เพียงพอกับความต้องการของคน
2. โครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศยากจนเป็นแบบเผด็จการและเจ้าขุนมูลนาย
โดยอภิสิทธิชนกลุ่มน้อย
3. คนจนคือคนที่ได้รับการศึกษาอบรมต่ำ
ได้รับบริการทางสาธารณสุขต่ำ มีวิถีการผลิตและวิถีชีวิตที่ล้าหลัง
ประสิทธิภาพการผลิตต่ำแข่งขันสู้คนอื่นเขาไม่ได้ (วัฎจักรของ
โง่ เจ็บ จน)
คำอธิบายนี้มองแต่ปัจจัยภายในประเทศของประเทศพัฒนาน้อยกว่า
รวมทั้งมองว่าเป็น ปัจจัยส่วนบุคคลด้วย โดยละเลยไม่มองปัจจัยภายนอกประเทศจากการเข้ามาเอาเปรียบของประเทศอาณานิคมและบริษัทข้ามชาติ
แน่ละปัจจัยภายในประเทศเหล่านี้สะท้อนความจริงส่วนหนึ่งสำหรับบางประเทศ, บางกลุ่มคน,
หรือในบางระดับ
แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของคนจนส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบัน และไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของคนยากจนชาวไทยในปัจจุบัน
คนจนสมัยก่อนไม่ได้จนมากเหมือนคนจนสมัยนี้
ในประเทศไทยในยุคก่อนการพัฒนาแบบทุนนิยมบริวาร
มีความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตรสูง (ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว)
สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนชนบทส่วนใหญ่มองในแง่การมีปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิต
เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ยารักษาโรคค่อนข้างพอเพียง
ถ้าเปรียบเทียบแล้วคนไทยทั่ว ๆ
ไปแม้แต่คนชนบทที่ห่างไกลก็ยังมีอาหารและเครื่องใช้ไม้สอยพอเพียงมากกว่าคนจนยุคใหม่
ซึ่งต้องทำงานหาเงินเพื่อใช้เงินซื้อปัจจัยพื้นฐานทุกอย่าง
ความยากจนยุคใหม่ซึ่งเป็นความยากจนขึ้นอยู่กับการที่คนหาเงินได้ไม่พอกับรายจ่ายที่จำเป็น
ส่วนใหญ่แล้วถูกสร้างขึ้นโดยระบบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาด
ที่ทำลายทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และสังคมวัฒนธรรม วิถีชีวิตชุมชนแบบดั้งเดิม
ซึงเปรียบเสมือนทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน
การพัฒนาแบบทุนนิยมผูกขาด
ทำให้คนบางส่วน นายทุน,
พ่อค้า, ผู้ประกอบการายใหญ่, คนชั้นกลาง รวยขึ้น แต่ทำให้คนส่วนใหญ่จนลง นี่คือความยากจนขนานใหญ่
เป็นความยากจนเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมสมัยใหม่
ซึ่งต่างไปจากความยากจนเชิงเปรียบเทียบในสังคมเกษตรดั้งเดิมสมัยก่อนทุนนิยมโดยสิ้นเชิง
จริงอยู่ที่การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ มีแง่บวกในด้านการพัฒนาสาธารณสุข การศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ และการบริหารจัดการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยเพิ่มผลผลิต ทำให้บางประเทศ หรือคนบางกลุ่มมีฐานะความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นจากเดิม อัตราการตายของแม่และเด็กลดลง, คนอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ฯลฯ
จริงอยู่ที่การพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ มีแง่บวกในด้านการพัฒนาสาธารณสุข การศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ และการบริหารจัดการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยเพิ่มผลผลิต ทำให้บางประเทศ หรือคนบางกลุ่มมีฐานะความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นจากเดิม อัตราการตายของแม่และเด็กลดลง, คนอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ฯลฯ
แต่ผลกระทบในแง่ลบของระบบทุนนิยมโลกที่มีลักษณะผูกขาดแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอานั้น
โดยส่วนรวมแล้วทำให้คนส่วนน้อยเพียงราว 20% ของคนทั้งโลกเท่านั้นที่รวยขึ้น
คนส่วนใหญ่อีก 80% ถูกทำให้ยากจน
ขัดสนและอยู่ในภาวะยากลำบากมากขึ้น ทรัพยากร, ทุนทางสังคมวัฒนธรรม(ชุมชนที่เคยเข้มแข็งและช่วยเหลือเกื้อกูลสมาชิกได้อย่างดี) ถูกทำลายมากขึ้น มีการแก่งแย่งแข่งขันแบบเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น
เราควรจะมองผลกระทบของการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาด
ทั้งแง่บวกและแง่ลบอย่างวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใช่มองแต่แง่บวกแง่เดียว
เราถึงจะเข้าใจปัญหาความยากจนได้อย่างแท้จริง
1.2 คนจนคือใคร
? - กรอบคิดที่วัดความยากจนในแง่รายได้ล้วนๆ
นำไปสู่การเสนอแนวทางแก้ไขที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมเป็นด้านหลัก
ธนาคารโลก
และนักเศรษฐศาสตร์ผู้สนับสนุนแนวทางการพัฒนาแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมตะวันตกเป็นผู้เผยแพร่กรอบคิดการวัดความยากจนของประเทศในแง่รายได้ต่อหัว
และวัดความยากจนของคนในแง่การมีรายได้มาซื้อสินค้าและบริการพอยังชีพหรือไม่
ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวโดยเฉลี่ยต่ำกว่าประเทศอื่นถือว่าเป็นประเทศยากจน
คนที่มีรายได้ต่ำกว่าระดับรายได้ในการยังชีพ ถือว่าเป็นคนยากจน เช่น ใช้ตัวเลขว่า
ปี 2542
ไทยมีคนจน คือ คนที่รายได้ต่ำกว่า 886 บาท
ต่อเดือนอยู่ 9.9 ล้านคน หรือ 15.9% ของคนทั้งประเทศ
การให้คำจำกัดความ
คนจน ในแง่ของรายได้ล้วน ๆ นำไปสู่คำอธิบายต่อไปว่า ความยากจนเกิดจากการที่ประเทศ
และคนยากจนยังพัฒนาแบบทุนนิยมได้น้อยไป
แนวทางแก้ไขของธนาคารโลกและนักเศรษฐศาสตร์กระแสทุนนิยมอุตสาหกรรมคือ ประเทศร่ำรวย
ต้องให้ประเทศยากจนกู้เพิ่ม บริษัทข้ามชาติเข้าไปลงทุนในประเทศยากจนเพิ่ม
เพื่อทำให้ประเทศและคนยากจนเหล่านี้เข้ามาสู่ระบบการผลิตเพื่อการค้า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกมากขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักอธิบายว่าตอนเริ่มแผนพัฒนาใหม่
ๆ คือในปี 2505/06ประเทศไทยมีคนจนในแง่รายได้ 57% ของคนทั้งประเทศ
หลังจากมีการใช้แผนพัฒนา(แบบทุนนิยมสมัยใหม่)สัดส่วนคนจนของไทยได้ลดลงตามลำดับ จนถึง ปี 2539 มีคนจนเพียงแค่
11.4% ของคนทั้งประเทศ
การวัดแบบนี้เป็นการเน้นเรื่องรายได้ที่เป็นตัวเงิน และการคำนวณเส้นความยากจน
จึงไม่อาจสะท้อนภาพคนจนอย่างแท้จริง เพราะค่าครอบชีพสูงขึ้น, คนสมัยใหม่ต้องซื้ออาหารการกินและเครื่องใช้ไม้สอยมากขึ้น
ไม่ได้ทำกินหรือหากินตามธรรมชาติได้
สภาพความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ
โครงสร้างเศรษฐกิจทุนนิยมโลกที่พวกนักเศรษฐศาสตร์อ้างว่าเป็นการแข่งขันเสรีที่เป็นธรรม
ที่นำไปสู่ประสิทธิภาพสูงสุดนั้น จริง ๆ แล้วเป็นระบบทุนนิยมผูกขาด
โดยบริษัททุนข้ามชาติและทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการแข่งขันแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาที่ไม่เป็นธรรม
ดังนั้นยิ่งโลกพัฒนาแบบทุนนิยมมากเท่าไหร่
ก็ยิ่งสร้างความร่ำรวยให้กับผู้เป็นเจ้าของและผู้ควบคุมปัจจัยการผลิตซึ่งเป็นคนส่วนน้อย, ยิ่งทำลายสภาพแวดล้อมทั้งทางกายภาพและทางสังคม
วัฒนธรรม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างประเทศร่ำรวยและประเทศยากจนมากขึ้น
และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศส่วนใหญ่
รวมทั้งในประเทศไทยมากขึ้น
ในระบบทุนนิยมสมัยใหม่
ซึ่งเราต้องขายแรงงานหรือผลิตเพื่อขาย และต้องใช้เงิน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การวัดความยากจนในแง่รายได้ที่แท้จริงที่คนเราสามารถใช้ยังชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนได้
เป็นวิธีวัดเชิงปริมาณที่สะท้อนความเป็นจริงส่วนหนึ่ง
แต่เราควรใช้รายได้หรือผลผลิตในการยังชีพเป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่งร่วมกับตัวชี้วัดอื่น
ๆ ไม่ควรที่จะวัดเฉพาะรายได้อย่างเดียว
การวัดความยากจนแบบใช้เส้นวัดความยากจนเป็นตัวกำหนด
คือดูว่าใครมีรายได้เฉลี่ยพอซื้ออาหารและปัจจัยที่จำเป็นพอยังชีพได้
มีข้อจำกัดทั้งในทางเทคนิค(ว่าจะกำหนดตัวเลขเท่าไหร่จะวัดได้ถูกต้องแม่นยำแค่ไหน)
และในทางกรอบคิดอุดมการณ์ คือ ถ้าเราเลือก
ให้คำจำกัดความ หรือมองความยากจนเฉพาะในแง่รายได้ล้วน ๆ ก็จะนำไปสู่ข้อสรุปว่า
ทางแก้ไขความยากจน คือ ต้องทำให้คนจนทำงาน หารายได้เพิ่ม
ใครมีรายได้สูงเกินขีดหนึ่งก็ถือว่าพ้นความยากจน ซึ่งเป็นข้อสรุปที่ไม่ถูกทั้งหมด
เกษตรกรในสังคมดั้งเดิม
หรือเกษตรกรยุคปัจจุบันบางกลุ่มบางคนที่เลิกหรือลดการทำเกษตรเพื่อขายแบบทุนนิยมหันกลับไปฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบพอเพียง
ที่ผลิตเพื่อกินเพื่อใช้ มีปัจจัยพื้นฐานพอเพียง โดยหาเงินได้น้อยและใช้เงินน้อยลง
กลับมีความเป็นอยู่(ในแง่การมีปัจจัยพื้นฐานพอเพียง)ที่ดีกว่าเกษตรกรที่ผลิตเพื่อขายอย่างเดียวที่มีรายจ่ายสูงกว่ารายได้
เนื่องจากเกษตรกรที่ผลิตเพื่อขายแบบทุนนิยมต้องซื้อทั้งปัจจัยการผลิต
และเครื่องอุปโภคบริโภคในราคาสูงกว่ารายได้
ทำให้พวกเขามีรายได้สุทธิต่ำจนไม่พอที่จะซื้อหาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นได้เพียงพอ
นอกจากนี้แล้ว
คนที่มีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจนนิดหน่อย แต่ยังคงมีหนี้มาก, ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ควบคุมปัจจัยการผลิต
สถานะทางสังคมและการเมืองต่ำ, ไม่มีอำนาจต่อรอง
ไม่มีสิทธิโอกาสที่จะเข้าถึงบริการพื้นฐานต่าง ๆ ได้ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ ฯลฯ
ก็ยังอาจถูกจัดว่าเป็นคนยากจนในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้
การวัดการกระจายรายได้ของคนไทยพบว่า ยิ่งพัฒนา การกระจายรายได้ของกลุ่มคนต่าง ๆ
ในประเทศยิ่งมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมากขึ้น ในปี 2518/19 คนที่รวยที่สุด
20% มีรายได้ 49.3% ของคนทั้งประเทศ
คนอีก 80% มีรายได้ 50.7% แต่อีก 23
ปีต่อมาคือ ปี 2542 คนที่รวยที่สุด 20%
มีรายได้เพิ่มขึ้น 58.5% ขณะที่คน 80% มีรายได้ลดลงเหลือเพียง 41.5% ของรายได้ของคนทั้งประเทศ
ดังนั้นเราจึงควรจำกัดความคนจน
ให้ครอบคลุมคนยากจนขัดสนในด้านสังคม การเมือง และวัฒนธรรมด้วย
และหาตัวชี้วัดทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม ด้วย และหาตัวชี้วัดทางสังคม
การเมือง และวัฒนธรรม ซึ่งต่างจากตัวชี้วัดทางรายได้หรือทางเศรษฐกิจ
มาพิจารณาประกอบกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
เราจึงจะเห็นภาพความยากจนซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมอย่างเป็นองค์รวม
และสามารถวิเคราะห์สาเหตุของความยากจน ทั้งจากปัจจัยภายนอก(ทุนนิยมโลก)
และปัจจัยภายใน(โครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในประเทศที่เป็นเผด็จการล้าหลัง)
ปัญหาผลกระทบปัญหาความยากจนต่อสังคม
และแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างถูกต้องหรือใกล้เคียงความเป็นจริงได้มากขึ้น
2.
ความยากจนเชิงโครงสร้าง
ปัจจุบันมีนักคิดนักวิเคราะห์สังคมไทย
ที่มองปัญหาความยากจนในความหมายกว้าง คือ มองความยากจนในเชิงโครงทางเศรษฐกิจ
การเมือง สังคม หรือปัญหาเชิงนโยบายของรัฐมากขึ้น
อาจารย์ประเวศ
วะสี
มองว่า โครงสร้างหรือกลไกในสังคมมีลักษณะเอาเปรียบคนจนหรือทำให้คนจนจน
โครงสร้างทางสังคมที่ทำให้เกิดความยากจนมีอย่างน้อย 10 ประการคือ
1) ทรรศนะผิด ๆ ของสังคมที่รังเกียจคนจน คิดว่าคนจนเพราะเวรกรรมในชาติก่อน
ทรรศนะที่รังเกียจการใช้แรงงาน การแต่งตัวแบบปอน ๆ ฯลฯ 2) โครงสร้างทางกฎหมาย
3) โครงสร้างการใช้ทรัพยากร 4) ระบบการศึกษา
5) ระบบการธนาคาร 6) ระบบการสื่อสาร 7)
ระบบราชการ 8) การกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาประเทศ
9) ระบบการเมือง 10) สังคมอ่อนแอ
ขาดการรวมกลุ่มร่วมกันคิดร่วมกันทำให้มีพลังเข้าใจปัญหา โครงสร้างทางสังคมทั้ง 10
อย่างเอื้อต่อคนรวยและเป็นตัวกระทำให้เกิดความยากจนเชิงโครงสร้าง
ซึ่งไม่ใช่ยากจนเพียงเพราะไม่ขยันหรือไม่ดี
ดังนั้นเราจึงจะต้องแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างทางสังคมทั้ง 10 ประการนี้ให้ได้
เราจึงจะมีทางแก้ความยากจนได้
อาจารย์เสน่ห์
จามริก
มองว่า
ความยากจนในปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยระบบโครงสร้างสังคมและนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วง
40-50 ปีที่ผ่านมา
ที่ทำให้การแบ่งสรรทรัพยากรโน้มเอียงไปในทางที่ทำให้คนมีได้เปรียบคนจนเสียเปรียบ
ไม่ใช่เป็นเรื่องแค่คุณสมบัติส่วนตัว ที่คนบางคนจนเพราะไม่อยากเอาดี
ไม่อยากขยันเหมือนในยุคอดีต
อาจารย์นิธิ
เอียวศรีวงศ์ มองว่า
ความยากจนในโลกปัจจุบันไม่ได้เป็นปัญหาของปัจเจกชน ที่บางคนมีรายได้น้อย
บางคนมีรายได้มาก หากเป็นผลพวงมาจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้การครอบงำจากประเทศมหาอำนาจ
ที่ได้แย่งเอาทรัพยากรที่ประชาชนทั่วไปเคยใช้อยู่ แหล่งจับปลา ทรัพยากรชายฝั่ง
ไปให้คนอื่นใช้ เช่น ทำเป็นเขื่อนสร้างกระแสไฟฟ้า เอาไปทำนากุ้ง
ปล่อยให้เรือกระตักทำลายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ทำให้ประชาชนไร้สมรรถภาพที่จะเข้าถึงทรัพยากรในการดำรงชีวิต จึงต้องกลายเป็นคนจน
ไร้อำนาจในการตัดสินใจ ทั้งในตลาดและในการเมือง
ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้เหมือนเมื่อก่อน จึงต้องกลายเป็นคนจน
การไร้สมรรถภาพไร้อำนาจในการเข้าถึงทรัพยากรในที่นี้
อาจารย์นิธิ ยังมองกว้างถึงทรัพยากรในด้านการศึกษา ซึ่งกลายเป็นสมบัติของคนชั้นกลางที่คนจนเข้าไม่ถึงมากขึ้น
ส่วนที่คนจนเข้าถึงก็มักเป็นการศึกษาประเภทใช้ประโยชน์ไม่ได้จริง (เสน่ห์
จามริก และคณะ คลังสมองคนจน หนังสือชุดความรู้เล่มที่ 5 สถาบันพัฒนาการเมือง
2543)
กล่าวโดยรวมก็คือ
เราควรเข้าใจความหมายของความยากจน ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม
และเข้าใจที่มาของความยากจน ว่าถูกกำหนดโดยเงื่อนไขหลายประการ เงื่อนไขที่สำคัญคือ
ระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ที่มีลักษณะเอื้อคนรวย และเอาเปรียบคนจน
และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ที่เป็นตัวสร้างความยากจนยุคใหม่เพิ่มขึ้น
3.1 ความหมายของคนยากจน (คนขัดสน, ด้อยโอกาส, คนในภาวะยากลำบาก
ฯลฯ)
1) ไม่มีรายได้เพียงพอ
หรือไม่สามารถสนองความต้องการพื้นฐานที่จำเป็นขั้นต่ำ สำหรับอาหารที่มีคุณค่า
ที่อยู่อาศัย และเครื่องอุปโภคบริโภคที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพในเกณฑ์มาตรฐานได้
เช่น เกษตรกรรายย่อยที่ผลผลิตต่ำ และหาอาหารเองไม่ค่อยได้, ไร้ฝีมือ
ที่ไม่มีงานประจำ, ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย, คนตกงาน คนด้อยโอกาส ฯลฯ เส้นความยากจนที่นักเศรษฐศาสตร์กำหนด 886 บาท ต่อคนต่อเดือนในปี 2542 น่าจะต่ำเกินกว่าความจริง
เพราะรายได้ขั้นต่ำตามที่คณะกรรมการไตรภาคีแรงงานที่คำนวณว่าพอให้คนมีรายได้ยังชีพยังอยู่ที่
133-165 บาทต่อวัน(แล้วแต่จังหวัด)หรือราว 4,000 - 5,000 บาทต่อเดือน
2) มีรายได้หรือความสามารถในการตอบสนองความต้องการในชีวิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของคนในสังคมเดียวกัน
หากมองในแง่นี้จะกินความหมายกว้าง ถึงคนที่มีรายได้ต่ำสุด 80% ซึ่งมีสัดส่วนในรายได้เพียง 41.5% ของรายได้ของคนทั้งประเทศ
และคน 80% นี้ก็เป็นคนมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน
ต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศ 3,508 บาท ต่อคน/ต่อเดือน ในปี 2542
3) มีสถานะหรืออำนาจต่อรองทางการเมืองและสังคม
ต่ำกว่าสมาชิกคนอื่น ๆ
รวมทั้งคนที่สังคมมีอคติหรือความเชื่อที่กีดกันพวกเขาให้ไม่ได้รับสิทธิเสมอภาค
เช่น เป็นชนชาติส่วนน้อย, คนในชุมชนแออัด, คนอยู่ชนบทห่างไกล, คนอพยพ, คนที่ไม่มีทะเบียนบ้าน,
ผู้หญิง (โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยากจนหรือการศึกษาต่ำ),
คนที่มีอาชีพที่สังคมถือว่าต่ำต้อย ฯลฯ
4) คนที่ไม่มีสิทธิหรือโอกาสที่จะได้รับบริการขั้นพื้นฐาน
เช่น การศึกษา โอกาสในการประกอบอาชีพ, บริการทางสาธารณสุข
และบริการอื่น ๆ ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ เช่น เป็นคนพิการ คนบ้า, คนป่วยเรื้อรัง, คนชรา, เด็กกำพร้า
ที่ไม่มีญาติพี่น้องดูแล หรือมีญาติพี่น้องบ้างก็ยากจน เด็กเร่ร่อน ฯลฯ
1) ไม่มีปัจจัยการผลิตและปัจจัยการยังชีพที่เหมาะสม
เช่น ไม่มีที่ดิน, ที่ดินไม่ดี ขาดน้ำ ไม่มีเงินทุน
ไม่มีอุปกรณ์การผลิตของตนเอง ต้องกู้หนี้ยืมสิน ต้องเช่า ต้นทุนสูง ประสิทธิภาพต่ำ
ผลตอบแทนต่ำ การบริโภคต้องซื้อมากขึ้น ไม่มีป่า, ทะเล,
สภาพแวดล้อมที่จะหาอาหารจากธรรมชาติหรือผลิตเองได้เหมือนในอดีต
2) ไม่ได้รับการศึกษาอบรมชนิดที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
การผลิต การมีงานทำและวิถีชีวิตที่เหมาะสม ส่วนใหญ่คือ
หัวหน้าครอบครัวได้รับการศึกษาต่ำ ระดับลูกหลานที่ได้รับการศึกษาสูงขึ้นมาหน่อย
ก็มักเป็นการศึกษาแบบสามัญที่ใช้แก้ปัญหาหรือสร้างงานให้ตัวเองไม่ได้
หากไม่มีใครจ้าง
3) เป็นผู้เสียเปรียบจากระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผูกขาด
การเปลี่ยนวิถีการผลิตจากการปลูกข้าวและทำเกษตรผสมผสาน
เพื่อกินเพื่อใช้มาปลูกพืชเดี่ยวเพื่อขาย ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
แต่ได้ผลตอบแทนต่ำ เพราะระบบพ่อค้าผูกขาด, การเป็นหนี้เรื้อรัง
และเสียดอกเบี้ยสูง การเสียเปรียบในเรื่องซื้อแพงขายถูก
4) เป็นผู้เสียเปรียบจากระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบอำนาจนิยม การเล่นพวก และการนับถือเงินเป็นพระเจ้า คนจนผู้มักจะมีความรู้น้อย อำนาจต่อรองน้อย ยิ่งเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบง่ายแทบทุกด้าน พวกเขาต้องจ่ายค่าบริการแพงกว่าคนอื่น ต้องจ่ายภาษีเถื่อน หรือค่านายหน้าให้กับผู้มีอำนาจมากกว่า และจ่ายภาษีทางอ้อมคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้สูงกว่าคนอื่น ๆ
5) เป็นผู้เสียเปรียบและพ่ายแพ้ในระบบโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมแบบทุนนิยมใหม่ ทั้งในด้านการผลิตและการบริโภค เช่น ทำงานแข่งขันในระบบทุนนิยมสู้เขาไม่ได้ เพราะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กกว่า, มีทุนน้อยกว่า, มีความรู้ความชำนาญในเรื่องการผลิตการตลาดน้อยกว่า ต้นทุนสูงกว่า ประสิทธิภาพต่ำกว่า ล้มละลาย, ขาดทุน, ตกงาน ฯลฯ หรือในด้านการใช้ชีวิต การบริโภคก็ปรับตัวไม่เป็น ไม่รู้จักอดออม บริโภคสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น เหล้า บุหรี่ การเล่นหวย และการพนันอื่น ๆ ซื้อสินค้าเงินผ่อนหรือเป็นหนี้หลายต่อ แบบหมุนเงินไปใช้วัน ๆ ทำให้เสียดอกเบี้ยสูง ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสูง โดยไม่คุ้มค่า การเสียเปรียบและพ่ายแพ้ในเชิงโครงสร้างเช่นนี้เป็นการซ้ำเติมให้ผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ยิ่งจนซ้ำซากเรื้อรัง อย่างไม่มีทางออก
4) เป็นผู้เสียเปรียบจากระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบอำนาจนิยม การเล่นพวก และการนับถือเงินเป็นพระเจ้า คนจนผู้มักจะมีความรู้น้อย อำนาจต่อรองน้อย ยิ่งเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบง่ายแทบทุกด้าน พวกเขาต้องจ่ายค่าบริการแพงกว่าคนอื่น ต้องจ่ายภาษีเถื่อน หรือค่านายหน้าให้กับผู้มีอำนาจมากกว่า และจ่ายภาษีทางอ้อมคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้สูงกว่าคนอื่น ๆ
5) เป็นผู้เสียเปรียบและพ่ายแพ้ในระบบโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมแบบทุนนิยมใหม่ ทั้งในด้านการผลิตและการบริโภค เช่น ทำงานแข่งขันในระบบทุนนิยมสู้เขาไม่ได้ เพราะเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กกว่า, มีทุนน้อยกว่า, มีความรู้ความชำนาญในเรื่องการผลิตการตลาดน้อยกว่า ต้นทุนสูงกว่า ประสิทธิภาพต่ำกว่า ล้มละลาย, ขาดทุน, ตกงาน ฯลฯ หรือในด้านการใช้ชีวิต การบริโภคก็ปรับตัวไม่เป็น ไม่รู้จักอดออม บริโภคสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น เหล้า บุหรี่ การเล่นหวย และการพนันอื่น ๆ ซื้อสินค้าเงินผ่อนหรือเป็นหนี้หลายต่อ แบบหมุนเงินไปใช้วัน ๆ ทำให้เสียดอกเบี้ยสูง ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสูง โดยไม่คุ้มค่า การเสียเปรียบและพ่ายแพ้ในเชิงโครงสร้างเช่นนี้เป็นการซ้ำเติมให้ผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ยิ่งจนซ้ำซากเรื้อรัง อย่างไม่มีทางออก
6) เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่ตกงาน,
ชราภาพ, พิการ
เป็นเด็กที่ไม่มีคนดูแลที่เหมาะสม, เป็นหม้าย
เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลลูกหลานมาก ฯลฯ โดยไม่มีงาน, ทุนทรัพย์
ความสามารถที่จะหางาน, รายได้, หรือความช่วยเหลือเพียงพอแก่การยังชีพในเกณฑ์มาตรฐาน
4. แนวทางแก้ไขปัญหาความยากจน
เนื่องจากปัญหาความยากจนเกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยมผูกขาดที่ด้อยพัฒนา
ไม่ใช่แค่เรื่องการที่ประชาชนยังมีการศึกษาต่ำหรือรายได้ต่ำ ฯลฯ เท่านั้น
การจะแก้ปัญหาความยากจนให้ได้ผล ต้องแก้ไขเงื่อนไขของความยากจนทั้ง 6 ข้อ
ให้ได้อย่างเชื่อมโยงกันทั้งระบบโครงสร้าง ไม่ใช่แค่ทำโครงการเป็นส่วน ๆ เช่น
พักหนี้เกษตรกร, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารคนจน
ฯลฯ ซึ่งจะแก้ปัญหาได้เพียงเฉพาะหน้าสั้น ๆ อาจช่วยได้เฉพาะบางคน
แต่ไม่อาจแก้ปัญหาคนจนได้ทั้งหมด
สิ่งที่จะต้องทำคือ
1) ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม
เช่น
การปฏิรูปที่ดิน การปฏิรูปการเกษตร การปฏิรูประบบการคลัง การเงิน การภาษีอากร
เพื่อเก็บภาษีคนรวย ไปช่วยพัฒนาคนจน การปฏิรูปการศึกษา สาธารณสุข สื่อสารมวลชน
ปฏิรูปทางการเมือง และปฏิรูปทางสังคมด้านต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดโครงสร้างการเป็นเจ้าของและการควบคุมปัจจัยการผลิตใหม่ ที่มีความเป็นธรรม
เป็นประชาธิปไตย และมีประสิทธิภาพ เน้นการพัฒนาระบบสหกรณ์, องค์กรของชุมชน,
บริษัทมหาชน การแข่งขันเสรีแทนระบบทุนนิยมผูกขาด
2) เปลี่ยนนโยบายการพัฒนาประเทศ
จากที่เน้นการพึ่งพาการลงทุนและการค้ากับ
ต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูงเกินไป มาเน้นการพัฒนาคน การจ้างงาน การพัฒนาทรัพยากร
และตลาดภายในประเทศ และเลือกลงทุนและการค้ากับต่างประเทศ
เฉพาะที่จำเป็นและคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์
เปลี่ยนนโยบายจากที่เคยเน้นความเติบโตของสินค้าบริการของประเทศโดยรวม
มาเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของคนส่วนใหญ่
3) พัฒนาระบบประกันสังคม, สวัสดิการสังคมในระดับประเทศ และสวัสดิการชุมชนในระดับท้องถิ่น ให้เกิดความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมถึงคนทุกส่วนในสังคม
แนวทางแก้ไขปัญหาคนจนอย่างยั่งยืน
ปัญหาคนจน
เป็นปัญหาที่สะท้อนความล้มเหลวของนโยบายและรัฐบาล ในการพัฒนาประเทศ เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งประเทศ เพราะการพัฒนาที่สร้างความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมากขึ้น ทำให้เกิดคนจนเพิ่มขึ้น มีส่วนสำคัญทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ และยังไม่สามารถฟื้นฟูแก้ไขได้ มีการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมของประเทศ ธนาคาร โลกและสภาพัฒน์ฯ ใช้เกณฑ์เส้นความยากจน หรือรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนที่คนเราสามารถใช้หา อาหารและสินค้าพื้นฐานที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ(ที่อยู่, ยา, เสื้อผ้า)ได้เพียงพอ โดยคำนวณว่า คนที่มี รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 886 บาทในปี 2542 ถือว่าเป็นคนจน และวัดออกมาว่าคนจนร้อยละ 15.9 ของคนทั้งประเทศ จำนวนคน 9.9 ล้านคน (ร้อยละ 60 อยู่ในภาคอีสาน, ร้อยละ 71.5 เป็นเกษตรกรและ แรงงานภาคเกษตร)
การวัดแบบนี้ทำให้ได้ตัวเลขคนจนทั้งประเทศที่ต่ำกว่าสภาพความเป็นจริง
ทั้งในแง่ที่ว่า
กำหนดเส้นความยากจนต่ำกว่าเกินไป (ค่าแรงขั้นต่ำยังอยู่ที่ 133-165 บาท ต่อวัน หรือในราว 3,990 - 4,950 บาทต่อเดือน) และในแง่ที่ว่าการมองเฉพาะตัวรายได้เป็นการมองแคบเกินไป ต้องมองแง่รายจ่าย, แง่หนี้สิน, แง่การขาดที่ทำกิน หรือปัจจัยการผลิต, ขาดการศึกษา, ข้อมูลข่าวสาร, ขาดสิทธิโอกาสที่ จะเข้าถึงบริการของรัฐบาล ขาดอำนาจต่อรอง ฯลฯ รวมทั้งคนจนในแง่สังคมการเมืองวัฒนธรรม ถ้าพิจารณาให้กว้าง คนจนคงมีมากกว่า 15.9% อย่างแน่ ๆ
วิธีการวัดความยากจนแบบรายได้พอยังชีพเป็นเกณฑ์ อ้างว่า
หลังจากมีการวางแผนการพัฒนา
เศรษฐกิจแบบ(ทุนนิยม)สมัยใหม่ ตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมา ทำให้สัดส่วนของคนยากจนลดลงตามลำดับ จากที่เคยมีคนยากจน ถึง 57.0% ของคนทั้งประเทศ ในปี 2506/07 มาเหลือเพียง 11.4% ของคนทั้งประเทศ ในปี 2539 (และมาขยับเพิ่มนิดหน่อยหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 คือ คนจนเพิ่มเป็น 13.0% ในปี 2541 และ 15.9% ในปี 2542)
คำอธิบายเรื่องทิศทางใหญ่ที่ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสมัยใหม่
ในรอบ 31-32
ปีที่ผ่านมา ทำให้คนจนลดลง น่าจะผิดพลาด เพราะจริง ๆ แล้วยิ่งพัฒนาแบบทุนนิยมผูกขาดและทุนนิยม บริวารมากเท่าไหร่ การกระจายทรัพย์สินและรายได้ระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ กลับไม่เป็นธรรมสูงขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า กลุ่มคนที่มีรายได้สูงสุด 20% แรกของประเทศที่เคยมีสัดส่วนในรายได้ 49.3% ของคน ทั้งประเทศในปี 2518 นั้นได้มีสัดส่วนในรายได้ของประเทศเพิ่มเป็น 58.5% ในปี 2542 ขณะที่คน 80% มีสัดส่วนในรายได้ของประเทศลดลงในช่วงระยะเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะคน 40% หลังมีสัดส่วน ในรายได้เพียง 10.9% ของคนทั้งประเทศ คนกลุ่ม 40% ที่มีรายได้ต่ำสุดนี้น่าจะจัดเป็นคนจน การวัด ความยากจนในเชิงเปรียบเทียบจะยิ่งเห็นได้ชัดว่าคนจนมีมากขึ้น คน 80% ของประเทศในปี 2542 มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 3,508 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นรายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศที่ต่ำกว่าแรงงานขั้นต่ำ เสียอีกด้วยซ้ำ
ธนาคารโลกและนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก อธิบายว่า
ความยากจนเกิดจากการที่ประชาชน
ยังไม่ได้เข้าสู่การพัฒนาแบบตลาด (การผลิตเพื่อขายในระบบทุนนิยม)อย่างเต็มตัว หรือยังขาด ความรู้ความสามารถที่จะแข่งขันในตลาด และทางแก้ไขปัญหาความยากจน คือ จะต้องช่วยให้คน จนกู้เงินไปลงทุนได้มากขึ้น ต้องพยายามเพิ่มผลผลิต เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน คำอธิบายเช่น นี้เป็นการมองด้านเดียวที่ไม่น่าจะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน
คนไม่ได้จนเฉพาะในเชิงรายได้เท่านั้น
แต่ยังจนในแง่การไม่ได้เป็นเจ้าของ, ผู้ควบคุมปัจจัยการผลิต
และความรู้ และมีสถานะทางการเมืองและสังคมต่ำ มีสิทธิและโอกาสได้รับบริการทางการศึกษา, สาธารณสุข, บริการอื่น ๆ ต่ำอีกด้วย คนไทยจำนวนมากเพิ่งมาจนลงในระยะ 40-50 ปีมานี้ สาเหตุใหญ่ก็คือ นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมผูกขาดที่การแข่งขันไม่เป็นธรรมสูง ทำให้ชาวบ้านและชุมชน เลิกผลิตแบบผสมผสานเพื่อกินเพื่อใช้ หันไปปลูกพืชเดี่ยวเพื่อขาย ในช่วงแรกๆ พวกเขามีรายได้เป็นตัวเงิ นเพิ่มขึ้น แต่จริง ๆ แล้วกลับมีรายจ่ายเพิ่มสูงกว่า ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดหนี้เรื้อรัง และยากจนมากกว่าในอดีต ซึ่งยังเป็นสังคมเกษตรแบบพอกินพออยู่หรือเศรษฐกิจพอเพียง
เราไม่อาจแก้ปัญหาความยากจนให้ทุกคนได้ภายใต้กรอบคิดเดิม
คือ ยิ่งพัฒนาระบบทุนนิยมมากขึ้น
จะแก้ได้เฉพาะคนส่วนน้อยที่ชนะการแข่งขัน เพราะทรัพยากรมีจำกัด การเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิต ก็ทำได้จำกัด และกระทบสิ่งแวดล้อมด้วย เมื่อมีคนชนะก็ต้องมีคนแพ้ การที่คนจนลงก็เพราะคนส่วนหนึ่ง รวยขึ้น ในอัตราที่สูงเกินไป ทางแก้ไขปัญหาความยากจนยุคใหม่จึงต้องคิดถึงทางเลือกอื่น คือเปลี่ยนวิธีการ ผลิตแบบพึ่งพาตลาด พึ่งพาเงินมากเกินไป กลับมาเป็นการพึ่งพาตนเองแบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็ นสัดส่วนสูงขึ้น ลดการพึ่งพาและการเสียเปรียบในระบบตลาดลง ลดการบริโภคฟุ่มเฟือยลง ฟื้นฟู ธรรมชาติและสมบัติสาธารณะใหม่ สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง และพัฒนาองค์กรชุมชนให้สามารถช่วยเหลือ สมาชิกในชุมชนได้มากขึ้น
แนวทางการแก้ปัญหาคนจน ที่รัฐบาลและนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเสนออยู่ในเวลานี้คือ
จะต้อง
กระจายการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือแบบพึ่งตลาด ไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากขึ้น เช่น การพักหนี้เกษตรกร, ตั้งธนาคารประชาชนให้คนจนกู้ได้มากขึ้น, การใส่เงินทุนเงินให้กู้ในหมู่บ้าน, การเพิ่มการผลิตสินค้าเพื่อขาย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ พัฒนาระบบตลาด พัฒนาระบบ การศึกษา สาธารณสุข ประกันสังคม ตามแบบประเทศพัฒนาอุตสาหกรรม ฯลฯ จะเป็นประโยชน์ต่อคน บางกลุ่มบางคน เช่น นายทุน นายธนาคาร ผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป เพราะเป็นการแก้ปัญ หาภายใต้กรอบโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองสังคมแบบเดิมที่เอื้อต่อกลุ่มอภิสิทธิชน การคอรัปชั่น และปัญหาความด้อยประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งสภาพความอ่อนแอของเศรษฐกิจสังคมไทย ในปัจจุบันที่จะไม่สามารถจะไปแข่งขันสู้กับทุนนิยมโลกแบบเปิดเสรีล่อนจ้อน ส่งแข่งทุกประเภทได้ อย่างแท้จริง
นโยบายการปัญหาคนจนของรัฐ
จะทำประโยชน์ให้กับคนจำนวนหนึ่งและสั้น ๆ
เพราะไม่ได้
ปฏิรูปผ่าตัดโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ มุ่งใส่เงินเข้าไปเหมือนการตามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่มี โครงการปฏิรูปโครงสร้างกรรมสิทธิที่ดิน, ทุน, ปัจจัยการผลิตอื่น ๆให้เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย และมีประสิทธิภาพ อย่างจริงจัง เช่น คิดแต่จะใช้เงินภาครัฐไปช่วยทั้งคนจนและคนรวย (อุ้มธนาคารผ่าน กองทุนฟื้นฟูธนาคาร ซึ่งใช้เงินมากกว่าที่ช่วยคนจนหลายสิบเท่า) แต่ไม่คิดเรื่องการปฏิรูประบบภาษีเพื่อหา เงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ไม่คิดเรื่องการหารายได้เข้ารัฐจากการปฏิรูประบบการให้สัมปทาน และรัฐวิสาหกิจ ต่าง ๆ อย่างถึงรากถึงโคน และไม่ได้คิดเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างการเป็นเจ้าของและผู้ควบคุมปัจจัยการผลิต (ที่ดิน, ทุน, เทคโนโลยี, การตลาด ฯลฯ) อย่างแท้จริง
คนจำนวนมากจนจริงมีชีวิตความเป็นอยู่ต่ำกว่ามาตรฐาน
ที่เราจำเป็นต้องยกระดับ แต่คน อีกส่วนหนึ่ง
จนในทางความรู้สึก เพราะถูกครอบงำทางความคิดให้อยากร่ำรวย อยากบริโภค อยากเสพสุขมากขึ้น พวกเขาจึงดิ้นรนแข่งขันในการบริโภคและเป็นหนี้สินมากขึ้น การช่วยให้พวกเขากู้เงินมากขึ้น มีรายได้เพิ่ม คงไม่มีวันพอที่จะแก้ไขได้ และมีโอกาสจะทำให้เขาเป็นหนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า
ทางแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน
จึงไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจล้วนๆ ต้องแก้ไขที่ค่านิยม วิถีการผลิต
การบริโภคของคนด้วย การพัฒนาประเทศควรมุ่งไปสู่การผลิตแบบสหกรณ์, และบริษัทที่มหาชนเป็นเจ้า ของและผู้ควบคุมจริง ๆ เน้นการที่ผลิตปัจจัยสี่และปัจจัยจำเป็น และการกระจายให้เป็นธรรม เน้น การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มคุณภาพการใช้ชีวิต มากกว่าการบริโภคสูงสุด เน้นความพึงพอใจหรือความสุข แบบสันโดษ แบบทางสายกลาง บริโภคให้น้อยลง เฉพาะสิ่งที่จำเป็น ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย โดยไม่ต้องพึ่งเงิน มากนัก ส่งเสริมการศึกษา, สื่อมวลชน วัฒนธรรมที่จะบ่มเพาะให้คนลดการเห็นการแก่ตัวลง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มากขึ้น สังคมจึงจะแบ่งปันทรัพยากรที่มีจำกัดได้ทั่วถึง ไม่เอาเปรียบกันและกัน และไม่ทำลายเบียดเบียน ธรรมชาติมากเกินไป
สรุปก็คือ การจะแก้ปัญหาความยากจนเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างยั่งยืนไม่อาจแก้ได้
โดยการพัฒนาตาม
แนวทางทุนนิยมผูกขาด เพราะโครงสร้างทุนนิยมโลกปัจจุบันเป็นโครงสร้างทุนนิยมผูกขาดแบบแข่งขัน ไม่เป็นธรรม หากจะต้องพัฒนาทางเลือกใหม่ คือ เลือกแข่งขันในส่วนที่เราพอแข่งขันได้ และกลับ มาพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียงระดับประเทศมากขึ้น นโยบายนี้จะทำได้ต้องการปฏิรูปทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ในแนวทางเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ, สังคมนิยมประชาธิปไตย และการอนุรักษ์ ระบบนิเวศน์ แนวทางเลือกใหม่นี้จะเป็นทางที่จะลดปัญหาความยากจนได้ยั่งยืนกว่าการแข่งขันกันผลิต แข่งขันกันบริโภค ในระบบทุนนิยมผูกขาดแบบแข่งขันไม่เป็นธรรม และไม่เสรีจริงในปัจจุบัน |
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น